โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ ในปัจจุบันนั้นมีมากมายหลากหลายเหนือคณานับ บางโรคก็ไม่ค่อยเป็นอันตรายหรือสร้างความเจ็บปวดต่อร่างกายมากนัก ในขณะที่บางโรคสร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยจนถึงขั้นล้มหายตายจากก็มี อย่างเช่น การเกิดเนื้องอกในสมอง หลอดเลือดในสมองแตก โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี บทความนี้จะพูดถึงโรคภัยอย่างหนึ่งที่ถือเป็นโรคเรื้อรังและก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้มากมาย แต่ถ้าดูแลรักษาเป็นอย่างดี อาการต่างๆก็จะสามารถทุเลาลงได้ มันคือ “โรคเบาหวาน” นั่นเอง ซึ่งต้องบอกเลยว่าโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด เพราะโรคเบาหวาน ถ้ารู้ให้ทันก็สามารถป้องกันและยับยั้งอาการไม่ให้รุนแรงได้
อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่ จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน ซึ่งเจ้าอินซูลินนี้เป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน ทั้งนี้ โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน และจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆได้ เช่น ตา ไต และระบบประสาท
♦ ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ง่าย ซึ่งถ้าคุณเข้าข่ายกลุ่มคนดังต่อไป ก็ควรดูแลเอาใจสุขภาพเป็นพิเศษ จะได้ป้องกันพิษภัยจากโรคเบาหวานที่อาจจะมาเยือนเมื่อไหร่ก็ได้
2.คนอ้วนหรืออยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนไม่อ้วน เนื่องจากร้อยละ 80 ของโรคเบาหวานพบได้ในคนอ้วน
4.คนที่เครียดเป็นประจำความเครียดจะมีผลไปกระตุ้นให้มีการหลั่งของฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกายซึ่งขัดขวางการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ง่าย
ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน อาการของโรคมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรืออาจไม่ปรากฏอาการเลยก็ได้
1.คนที่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นโรคเบาหวาน กลุ่มนี้มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนอื่นๆ เพราะได้รับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ จึงไม่แปลกที่หากพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นโรคเบาหวานแล้วตนจะเป็นด้วย
2.คนอ้วนหรืออยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนไม่อ้วน เนื่องจากร้อยละ 80 ของโรคเบาหวานพบได้ในคนอ้วน
3.คนที่ร่างกายอ่อนแอ โรคเบาหวานมักเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากขาดภูมิคุ้มกันโรค ทั้งนี้ คนที่ไม่ออกกำลังยยังมีความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆ อีกมากมาย
4.คนที่เครียดเป็นประจำความเครียดจะมีผลไปกระตุ้นให้มีการหลั่งของฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกายซึ่งขัดขวางการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ง่าย
5.คนที่เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของตับอ่อน หรือมีการอักเสบที่ตับอ่อนจากเชื้อไวรัส หรือยาบางชนิด ก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงต่อโรคเบาหวาน
6.คนที่ดื่มสุราเป็นประจำ สุราจะทำให้ตับอ่อนเสื่อมสมรรถภาพได้ ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆตามมา โดยคนที่ชอบดื่มสุรามักเป็นโรคตับ และโรคอื่นๆมากมาย รวมทั้งเบาหวานด้วย
ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน อาการของโรคมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรืออาจไม่ปรากฏอาการเลยก็ได้
♦ ลักษณะอาการที่พบบ่อยๆ ได้แก่
● เป็นแผลเรื้อรัง
● ปวดและชาตามมือและเท้า
● มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง ปาก หรือ กระเพาะปัสสาวะบ่อยครั้ง ปัสสาวะมาก กระหายน้ำบ่อย และมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้นคนปกติก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือด (พลาสมากลูโคส) 70-99มก./ดล. หลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลไม่เกิน 140 มก./ดล.
ในผู้เป็นเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลสูง (พลาสมากลูโคสในเลือดมากกว่า 180มก./ดล.) เกินความสามารถของไตที่จะกั้นมิให้น้ำตาลออกมาในปัสสาวะ จึงมีน้ำตาลออกมากับปัสสาวะมาก และดึงให้น้ำตามออกมาและก่อให้เกิดการเสียน้ำ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดอาการเบื้องต้นคือ ปัสสาวะบ่อยและมาก คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก
นอกจากนี้การที่ร่างกายเอาน้ำตาลกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ ร่างกายจึงสลายไขมันและกล้ามเนื้อมาใช้แทน ส่งผลให้มีอาการหิวบ่อย รับประทานจุ แต่น้ำหนักลด รู้สึกอ่อนเพลีย ฯลฯ
♦ วิธีป้องกันโรคเบาหวาน
1.ควบคุมอาหาร ประการแรกเลยคือต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณและสัดส่วนพอเหมาะวันละ 3 เวลา โดยควรลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทุกชนิด เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำหวาน และผลไม้รสหวานจัด เช่น ทุเรียน องุ่น ขนุน ลำไย น้อยหน่า ละมุด มะม่วงสุก ลูกเกด มะขามหวาน โดยเฉพาะผลไม้กระป๋อง เช่น เงาะ ลิ้นจี่ องุ่น เป็นต้น
นอกจากนี้ยังควรลดเนื้อสัตว์ติดมันต่างๆ ลดอาหารประเภทไขมันที่ได้จากสัตว์ อาหารที่มีกะทิ และให้เพิ่มการรับประทานอาหารประเภทผักให้มากขึ้น โดยเฉพาะผักประเภทใบอย่างผักกาด ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง บวบ ตำลึง ต้นหอม กะหล่ำปี ฯลฯ
2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมกับเพศและวัย ซึ่งการออกกำลังกายนี้จะยิ่งทำให้การควบคุมอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อน้ำหนักตัว ทำให้ไม่อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
3.หากเป็นโรคเบาหวานแล้วควรพบ แพทย์ทันที เพื่อตรวจร่างกายตามนัดและปฏิบัติตาคำแนะนำของแพทย์โดยรับประทานยาหรือฉีดอินซูลินตามแพทย์สั่งอย่าหยุดยาหรือเพิ่มยาเอง
ไบออสไลฟ์ ซี (Bios Life C)
สูตรใหม่ (ชนิดซอง 60 ซอง)
วิตามินและใยอาหาร สูตรที่มีงานวิจัยเด่นชัดว่า สามารถช่วยลดคลอเรสเตอรอล ลด LDL เพิ่ม HDL ควบคุมเบาหวาน ป้องกันโรคหัวใจ ไขมันในเลือด การบริโภคใยอาหารยังช่วยป้องกันมะเร็ง และควบคุมน้ำหนัก
ทะเบียน อย. เลขที่ 10-3-03646-1-0014
นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา
ราคา 3,694 บาท
◕ คุณประโยชน์
• ไบออสไลฟ์ ได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ และเภสัชกร โดยได้รับการบันทึกไว้ในหนังสืออ้างอิงทางการแพทย์ Physicians’Desk Reference PDR 2005 ►► http://newhealthcarelife.blogspot.com/2015/08/blog-post.html
• ช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอลในเลือด และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
• การลดเบาหวานหลังอาหารดูได้คือการกินข้าวปุ๊บวัดดูว่าเพิ่มเท่าไหร่ เพราะน้ำตาลจะไปทำลายเนื้อเยื่อ Bioslife สามารถลดน้ำตาลได้
• กรณีผสมนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต ช่วยเพิ่มความนุ่ม และปริมาณกากอาหารช่วยบรรเทาท้องผูกเรื้อรัง และโรคริดสีดวง
• ในผู้ป่วยเบาหวาน โคลเรสเตอรอลสูง ที่รับประทานยาจากแพทย์ ไม่ควรหยุดยาของแพทย์ทันที แต่สามารถใช้วิตามินผสมใยอาหารนี้เสริมการรักษา โดยดื่มในมื้อที่ไม่มียารับประทาน
• มีใยอาหารที่ละลายน้ำได้ (Soluble fiber) ในธัญพืช ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ถั่วต้านการก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
• มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินเอ, ซี, อี, เบต้าแคโรทีน, เซเลเนียม
• มีวิตามิน B1, B2, B3, B16,B12, ไบโอติน, กรดโฟลิค เกลือแร่ แคลเซียมและสังกะสี
• มีสารโครมเมท (Chrome Mate) ซึ่งเป็นสารประกอบระหว่างออกซิเจนกับสารโพลีไนโคทิเนท (ไนอาซิน-โครเมียม) ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้สูง
• ใยอาหารในไบออสไลฟ์ทู ช่วยลดอัตราการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
◕ วิธีรับประทาน
• ในผู้ป่วยเบาหวาน ให้ทาน Bioslife ก่อนอาหาร 5-10 นาที เช้า เย็น (สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาจากโรงพยาบาลอยู่แล้ว ให้ทาน Bioslife ในมื้อที่ไม่ได้ใช้ยาของโรงพยาบาล เมื่อเบาหวานดีขึ้นให้ค่อยๆปรับลดยาโรงพยาบาลลง และเลิกใช้ยาโรงพยาบาลได้ เมื่ออยู่ในระดับปกติแล้ว)
- หลังดื่ม 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยเบาหวานควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและปรับลดยาเมื่อน้ำตาลลดลง
- หลังดื่ม 4-8 สัปดาห์ ผู้มีคลอเรสเตอรอลสูงควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและปรับลดยาเมื่อไขมันลดลง
- การรับประทานใยอาหาร ควรดื่มน้ำมาก ๆ
◕ ข้อแนะนำ
• หลังดื่ม 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยเบาหวานควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและปรับลดยาเมื่อน้ำตาลลดลง
• หลังดื่ม 4-8 สัปดาห์ ผู้มีโคลเรสเตอรอลสูงควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและปรับลดยาเมื่อไขมันลดลง
• การรับประทานใยอาหาร ควรดื่มน้ำมาก ๆ
• ห้ามใช้ในผู้ป่วยลำไส้อุดตัน โรคไต
• เด็ก ,หญิงมีครรภ์ ,ให้นมบุตร ไม่ควรรับประทาน
• ห้ามดื่ม ในมื้อที่มีมียารับประทาน หากมียาหรืออาหารเสริมให้รับประทานก่อนดื่มใยอาหารอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
• ในบางรายที่ร่างกายไม่คุ้นเคยกับใยอาหาร อาจมีระยะปรับตัวในช่วงแรก เช่น ท้องอืด บางรายท้องเสีย อาการนี้จะค่อย ๆ หายไป และพบในคนส่วนน้อย วิธีแก้ไข คือ ในช่วย 2-3 วันแรก ให้ผสมเครื่องดื่มเพียงจาง ๆ โดยผสม 1-3 ช้อนเล็กในน้ำ 300 ซีซี หลังจากนั้นค่อย ๆไต่ระดับเพิ่มความเข้มข้น จนได้มื้อละ 6 ช้อนเล็ก
◕ ส่วนประกอบ
• Maltodextrin
• Niacinamide
• Di-alpha-tocopherol acetate
• Artificial vanilla flavor
• Zinc Gluconate
• Pyridoxine HCI
• Riboflavin
• Thiamin HCI
• Beta-Carotene
• ChromeMate
• Folic Acid
• Biotin
• Sodium Selenite
• Cyanocobalamin
◕ ตัวอย่างผู้ป่วยเบาหวานที่ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์
► ยายดำชัยภูมิ เบาหวานตัดขา
ยายดำ ป่วยเป็นโรคเบาหวาน มาเป็นระยะเวลา 7-8 ปี รักษาไม่หาย นอนป่วยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดชัยภูมิ รักษาไม่หาย แพทย์แนะนำให้ตัดเท้าแต่โชคดีที่พันจ่าอากาศเอกชัยสิทธิ์ จันทวงศ์ นักธุรกิจยูนิซิตี้ได้ไปพบเข้า จึงได้แนะนำให้รักษาโดยใช้ผลิตภัณฑ์ของยูนิซิตี้ จนหายปกติในเวลาเพียง 4 เดือน ในขณะที่เพื่อนของยายดำที่ป่วยด้วยเบาหวานเหมือนกัน ได้ถูกตัดขาไปแล้ว
วิดีโอของยายดำคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่เป็นเบาหวาน ได้มีโอกาสที่จะหายจากการถูกตัดขา ตาบอดได้
ขอขอบพระคุณ พันจ่าอากาศเอกชัยสิทธิ์ จันทวงศ์ ผู้ที่ได้แบ่งปันข้อมูลดีๆ นี้
► ลุงเพียร กาฬสินธุ์ เบาหวานหายได้
ลุงเพียร ตรีบาตร ชาวอำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หมอแนะนำให้ตัดขา เบาหวานหานได้ด้วยผลิตภัณฑ์ยูนิซิตี้ Bios Life C ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการวิจัยมาจากสถาบันด้านการแพทย์ชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์อย่างกว้างขวาง บรรจุในคู่มือสั่งจ่ายยาของแพทย์ PDR
ปัจจุบันลุงเพียรแผลหายสนิท หายจากเบาหวาน สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
วิดีโอของลุงเพียรเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่เป็นเบาหวาน ได้มีโอกาสที่จะหายจากการถูกตัดขา ได้ขอขอบพระคุณศักย์สรณ์ พ่อไชยราช ผู้ที่ได้แบ่งปันข้อมูลดีๆ นี้
► ชีวิตใหม่ลุงวร (เบาหวาน ตัดขา)
ลุงวรเป็นเบาหวานมาหลายปี รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันไม่หาย จนแพทย์แนะนำให้ตัดขา แต่ลุงวร มีความเชื่อตามอย่างคนโบราณว่าถ้าจะตายก็ให้ตายครบ 32 ประการ ก็เลยกลับมารักษาตัวที่บ้าน โชคดีได้มีผู้มาแนะนำผลิตภัณฑ์ของยูนิซิตี้ ทำให้ตอนนี้ลุงวร หายจากอาการเบาหวานและกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
ขอขอบคุณผลิตภัณฑ์ดีๆ ของยูนิซิตี้
อ้างอิงข้อมูล จาก www.bioslife.com, อินเตอร์เน็ต
สนใจผลิตภัณฑ์ของยูนิซิตี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น